• ปวดตา
• น้ำตาไหล
• ตามัวลง
• เห็นรุ้งรอบดวงไฟ
• หากเป็นต้อหินเฉียบพลัน จะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย ซึ่งพบในผู้หญิงเอเชียค่อนข้างมาก อาการดังกล่าวจะมีอาการคล้ายกับผู้ป่วยทางอายุรกรรม ดังนั้น ต้องสังเกตด้วยการเอามือปิดตา ดูทีละข้าง ถ้ามีอาการตามัวลงมาก พร้อมอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ต้องรีบพบจักษุแพทย์โดยเร็วที่สุด

ชนิดของต้อหินแบ่งออกเป็น

1. ต้อหินปฐมภูมิ (Primary Glaucoma) ได้แก่
• ชนิดมุมเปิด (Primary Open-Angle Glaucoma) ต้อหินชนิดเรื้อรัง แบ่งเป็น ความดันตาปกติและความดันตาสูง
• ชนิดมุมปิด (Primary Angle-Closure Glaucoma) แบ่งเป็น ต้อหินชนิดเฉียบพลัน
2. ต้อหินทุติยภูมิ (Secondary Glaucoma) เป็นผลจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น อุบัติเหตุทางตา เบาหวานขึ้นจอตา และการใช้ยาหยอดตาบางชนิดเป็นเวลานาน
3. ต้อหินแต่กำเนิด (Congenital Glaucoma) พบในเด็กแรกคลอด – 3 ปี มาจากพันธุกรรมหรือสาเหตุอื่น ๆ

1. การรักษาต้อหินด้วยยา ได้แก่ ยาหยอดตาต้อหิน ยารับประทาน ซึ่งจักษุแพทย์จะรักษาทีละขั้นตอนแล้วดูผลการตอบสนองต่อการรักษาอย่างใกล้ชิด
2. การรักษาต้อหินด้วยเลเซอร์ ขึ้นอยู่กับชนิดต้อหิน ใช้เวลารักษาไม่นาน ส่วนใหญ่มักมีการให้ยาควบคู่ไปด้วยกัน การเลเซอร์ต้อหินผลข้างเคียงที่อาจพบได้คือ ตาแห้ง ตาสู้แสงไม่ได้ ระคายเคืองดวงตา ปวดตา ซึ่งหลังการเลเซอร์ต้อหินใช้เวลาพักฟื้นเพียง 30 นาทีก็สามารถกลับบ้านได้
3. การรักษาต้อหินด้วยการผ่าตัด การผ่าตัดต้อหินวิธีนี้จะใช้เมื่อผู้ป่วยรักษาด้วยยาและเลเซอร์แล้วไม่ได้ผล โดยการผ่าตัดขึ้นกับชนิดและความรุนแรงของต้อหิน สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ คือ การผ่าตัดรักษาต้อหินเป็นไปเพื่อลดความดันตาไม่ใช่การผ่าตัดต้อออกไปแล้วหายขาด เพราะต้อหินเมื่อเป็นแล้ว ทำได้ดีที่สุดคือควบคุมอาการไม่ให้แย่ไปกว่าเดิม